พลาสติก ภัยร้ายใก้ลตัวลูก

พลาสติก ภัยร้ายใก้ลตัวลูก

เมื่อเอ่ยคำว่า “พลาสติก” ในยุคนี้แทบจะไม่มีใครต้องมาถามกันอีกแล้วว่ามันคืออะไร? ...เพราะตั้งแต่เช้ายันเข้านอน ใครๆก็ต้องพึ่งพาภาชนะสารพัดอย่างที่ทำด้วยพลาสติก    ตั้งแต่แปรงสีฟัน-ขัน อาบน้ำ-จานกินข้าว-ถ้วยน้ำ -ขวดน้ำดื่ม- ขวดนมลูก ฯลฯ ทุกวันนี้เราจึงคุ้นเคยกับมันดังเพื่อนสนิท กระทั่งนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเพื่อนคนนี้...จะนำพิษร้าย และ ความตาย...มาให้...!
         
ข้อมูลอันชวนช็อกเริ่มจาก มหาวิทยาลัย เยล ในสหรัฐอเมริกาออกมาแฉผลวิจัยล่าสุดว่า สารที่มีชื่อว่า Bisphenol A หรือ BPA เป็นสาเหตุที่ทำลายเซลล์สมองของลิงในห้องทดลอง ทำให้เจ้าจ๋อตัวนั้นความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวนและเป็น มะเร็งต่อมลูกหมาก!  แม้แต่ใส่สาร BPA ในปริมาณที่ อย.อเมริกา (FDA )
ยืนยันว่าปลอดภัย ก็มีผลร้ายต่อสมองลิงเช่นกัน   ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เจ้าสารมหันตภัยตัวนี้มีอยู่ใน..พลาสติก

พลันที่ผลวิจัยนี้ตูมตามออกมา  ทางด้านผู้ผลิตขวดนม ขวดน้ำรายใหญ่ รายย่อย ต่างก็ดาหน้าออกมาโต้แย้งกันกระหึ่มว่า...เชื่อถือไม่ได้ ไร้สาระ และไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่ามีผลต่อมนุษย์  แถมยังยันกลับด้วยผลการศึกษาในอีกบางสำนักทั้งจากสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นที่ชี้ว่าขวดพลาสติกโพลีคาร์บอเนทที่มีส่วนผสมของบีพีเอในปริมาณ เล็กน้อยนั้นมีความเป็นพิษต่อสัตว์ แต่ไม่ทำลายสุขภาพของคน

แต่รัฐบาลแคนาดามิได้คิดเช่นนั้น รัฐบาลได้เร่งออกกฎหมายห้ามผสมสาร BPA ลงในภาชนะของเด็กโดยเด็ดขาด       หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์แคนาดา ค้นพบว่าเจ้าสารบีพีเอ มันก่อให้เกิดพิษร้ายต่อคนโดยเฉพาะมีอันตรายต่อเด็กแรกเกิด เด็กทารก และสิ่งแวดล้อม
   

     


รัฐบาลแคนาดา จึงจะมีมาตรการเข้ม ให้ต้องลดการใช้สารนี้โดยด่วน เช่น    เลิกใช้ขวดโพลีคาร์บอเนท  ให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆดังๆทั้งหลายเก็บอาหารที่บรรจุในภาชนะที่มีส่วนผสม ของไบสฟีนอล เอ(บีพีเอ)
ขวดและแก้วพลาสติกออกจากชั้นจำหน่ายสินค้าซะให้เกลี้ยง

              นาย เนียล แมคลัสกี นักวิจัยมหาวิทยาลัยกูเอลฟ์ นครโตรอนโตได้ เปิดเผยว่า โรงงานทำขวดพลาสติกทั่วโลกต่างก็ใช้ สารคมีไบสฟีนอล เอ.เป็นส่วนประกอบสำคัญทั้งๆที่มันมักจะละลาย หรือซึมแทรกปนอยู่ในอาหารแข็ง,เหลวหรือน้ำดื่มที่ บรรจุอยู่และเมื่อกินหรือดื่มเข้าไป  มันจะก่อกวนระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยประสาทของสมอง มีผลเสียหายต่อความจำและความเข้าใจ

Bisphenol A  ก็คือ คือสารพิษ ที่หากสะสมอยู่ในร่างกาย จะส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนเพศ ESTROGEN
จึงทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น  สมาธิสั้น,ก้าวร้าว. มีปัญหาเรื่องความจำ,สมองพัฒนาการช้า เป็นโรคอ้วน, โรคเบาหวาน อาจเป็นสาเหตุของโรคเอ๋อ(ดาวน์ซินโดม)และกระตุ้นเซลล์มะเร็ง ทำให้เป็นโรคมะเร็ง และ ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่อง(impaired immune function)

1. เลือกใช้ขวดแก้วเพื่อใส่นม ใส่น้ำดื่ม 
เช่นเดียวกับจานชามใส่อาหาร ให้ใช้ภาชนะที่เป็น แก้วเช่นกัน หรือ
เป็นสแตนเลส(Stainless steel)  เป็นเซรามิค, กระเบื้องเคลือบ (Porcelain) 
ชาม จาน ถ้วย หรือขวดนม เป็นพลาสติกที่ระบุไว้ว่า Non-Polycarbonate
 ก็ใช้ได้ครับ

2. ต้องหลีกเลี่ยง  ภาชนะพลาสติกมีคำย่อว่า PC หรือ พลาสติกเบอร์ 7
ซึ่งเป็นคำย่อยของ Polycarbonate ต้องหลีกเลี่ยงภาชนะ PVC หรือ พลาสติกเบอร์ 3

  

3. ไม่ควรอุ่นอาหาร หรืออุ่นนมในภาชนะพลาสติกทุกประเภท ไม่ควรนำขวดพลาสติกไปแช่แข็ง

4 .ไม่นำขวด PETมาใช้ซ้ำ ( ขวดPET เป็นคำที่ใช้เรียกขวดพลาสติกทั่วๆไป
 เช่นขวดน้ำดื่ม  เพราะมันผลิตจาก Polycarbonate หรือ PET (Polyethyleneterephthalate )

 5 . อาหารกล่องแช่แข็งทุกวันนี้เป็นที่นิยม เพราะแค่เอาเข้าไมโครเวฟทำร้อน แป๊บเดียว ก็ยกมาหม่ำกันได้แล้ว แต่อย่าลืมนะครับว่า อาหารกล่องโดยมากแล้วทำด้วยพลาสติก  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสบายใจ จึงควรเทอาหารใส่จาน-ชามแก้วแล้วค่อยนำไปเวฟนะครับ
ภัย-พลาสติกนอกจากจะแทรกซึมอยู่ในขวดน้ำขวดนม ถ้วยชามแล้ว มันยังแฝงตัวอยู่ในของเล่นเด็กอีกด้วย!... เปรียบดัง ภัยเงียบ ที่คุกคามเด็กๆอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งต้องรับพิษร้ายสะสมอยู่ในร่างกายทุกวันๆๆๆ นั่นก็คือ ...

ของเล่นที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว...

ทั้งที่ไม่มีเครื่องหมาย มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีมอก.(ปลอม)เป็นที่รู้กันอยู่ว่าอันตรายของสารตะกั่วนั้น มันสุดคณานับแค่ไหน ทั้งเป็นสารพิษที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ และสะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ สมอง กระเพาะอาหารไขกระดูก  ทําลายระบบประสาท เกิดอัมพาตที่นิ้วเท้าและมือ  ทําลายเซลล์สมองหลอดเลือดฝอย   อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ฉุนเฉียว จะมีอาการปวดหัว มึนงง  สับสน ความจําเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ โลหิตจาง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดการตกเลือด เกิดอาการเพ้อ ชัก เป็นอัมพาต หมดสติ และถึงตายได้

ที่น่าห่วงยิ่งก็คือ เด็กๆที่มีอายุตํ่ากว่า 6 ขวบ อาจจะเกิดความผิดปกติ ในการพัฒนาทางด้านภาษาและมีความบกพร่องในการใช้สายตาและมือ

และที่น่าเป็นห่วง ยิ่งกว่านั้น ก็คือ ...จากการสำรวจและตรวจสอบของ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและ ป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี   

พบว่า ...ในขณะที่  ระดับค่าความปลอดภัยตามมาตรฐานกำหนดของสารตะกั่ว อยู่ที่ 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่มีของเล่นมากมายหลายชิ้น อันเป็นที่สุดนิยมและมีวางขายกันเกลื่อนกลาด  ทั้งตามแผงลอยในตลาดนัด ร้านขายของชำและบนห้างใหญ่โต.. ล้วนแต่อุดมไปด้วยสารตะกั่วที่เกินค่ามาตรฐานอย่างน่ากลัวที่สุด...

เช่น       หน้ากากมาสก์ ไรเดอร์ มีระดับค่าตะกั่ว 24,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
รถแข่งขนาดเล็ก มีระดับค่าตะกั่ว 15,200 มิลลิกรัม/กิโล กรัม
ลูกบอลพลาสติก มีระดับค่าตะกั่ว 3,397 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม
จริงๆแล้วกฎหมายบ้านเรานั้นมีบทลงโทษหนักพอดู สำหรับ ผู้นำเข้าและผู้ค้าของเล่นอันตรายดังกล่าว
นั่นก็คือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ค้าจะมีโทษปรับ 5,000 บาท
แต่ที่น่าพิศวงงงวยเป็นอย่างยิ่งก็คือ เหตุใดทุกวันนี้บรรดาของเล่นพลาสติกมหาภัยยังเห็นมีวางขายกันเกลื่อนเหมือน เดิม เหมือนบ้านเมืองไร้ขื่อแป ผู้ดูแลไร้น้ำยา  เหมือนคิดกันง่ายๆว่า...ลูกหลานใครก็รับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน

ที่มา : ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ขอขอบคุณ : http://www.csip.org